วิธีทำให้บ้านเย็น ไม่ต้องง้อแอร์ให้เปลืองค่าไฟ

วิธีทำให้บ้านเย็น

วิธีทำให้บ้านเย็น ไม่ต้องง้อแอร์ให้เปลืองค่าไฟ

     ประเทศไทยเราเรียกได้ว่าอาจจะเป็นหน้าร้อนตลอดทั้งปีเลยก็ว่าได้จะมีช่วงเวลาที่เป็นหน้าหนาวกับหน้าฝนเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แล้ววันนี้เราจึงจะนำพาทุกท่านมาพบกับเทคนิคลดความร้อนภายในบ้านไม่ว่าจะช่วงหน้าร้อนหรือช่วงหน้าไหนหากรู้สึกบ้านร้อนอยู่ไม่ได้สามารถนำไปใช้ได้เลย รับประกันเลยว่าเมื่อท่านอ่านบทความจบแล้วจะสามารถนำเทคนิคการลดความร้อนภายในบ้านไปใช้ได้จริง

อยากให้บ้านเย็นต้องเริ่มตั้งแต่การวางโครงสร้างและภูมิทัศน์

1.การวางผังบ้านให้บ้านเย็น

ทิศใต้ ทิศตะวันตก แดดเยอะที่สุด

ทิศเหนือ ทิศตะวันออก แดดน้อย

จัดวางให้ห้องแต่ละห้องอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องทำงานให้อยู่ในทิศที่แดดน้อย

จัดห้องที่ต้องการความร้อนช่วยจัดการความชื้น มาไว้ในทางทิศที่โดนแดดเยอะ เช่น ห้องน้ำ โซนซักล้าง ห้องครัว

เพื่อเราจะได้ใช้ห้องแต่ละห้องอย่างมีความสุขที่สุด และยังใช้แสงแดดให้เกิดประโยชน์ด้วย

2.ทิศทางลม 

ทิศทางลมในแต่ละฤดู

  1. ฤดูร้อน (ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม) ลมจะพัดมาทางทิศใต้ ถือว่าเป็นลมที่ดี ช่วยลดความร้อนของอากาศลงได้

การวางทิศบ้านให้หันไปทางทิศใต้ ถือเป็นทิศที่ดี เพราะเป็นทิศที่มีลมพัดเข้าบ้านตลอด จึงควรจัดให้มีช่องลม หน้าต่าง หรือประตูที่ให้ลมเข้า เพื่อดึงลมเข้าบ้านให้มากที่สุด รวมทั้งไม่ควรปลูกต้นไม้ใหญ่บังหน้าบ้าน เพราะจะเป็นการบังทิศทางลม หากพื้นที่หน้าบ้านกว้างควรขุดบ่อน้ำ หรือทำสระน้ำไว้หน้าบ้าน เพื่อให้ลดพัดความเย็นเข้าสู่ตัวบ้าน.

  1. ฤดูฝน (ช่วงเดือนมิถุนายน-พฤศจิกายน) ลมจะพัดมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ลมนี้เรียกว่า “ลมมรสุม”

การวางทิศบ้านให้หันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จะได้รับอิทธิพลของลมมากที่สุด หากในแง่ของการวางทิศบ้านให้ถูกทิศทางลมแล้ว ถือว่าทิศนี้รับลมได้ดีที่สุด แต่ข้อเสียคือบ้านตั้งอยู่ในแนวลมมรสุม ซึ่งเสี่ยงต่อการที่บ้านจะเสียหายจากลมพายุได้ง่ายเมื่อเกิดพายุฝน ควรหาต้นไม้ใหญ่หรือแนวกำแพงเพื่อป้องกันลมมรสุมในทิศนี้แต่ต้องเว้นระยะห่างจากตัวบ้านด้วย.

  1. ฤดูหนาว (ช่วงธันวาคม-กุมภาพันธ์) ทิศทางลมจะพัดมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือเรียกว่า “ลมหนาว”

แนะนำเป็นห้องรับแขก ห้องนั่งเล่นหรือห้องทำงาน เพื่อรับแสงแดดในช่วงเช้าที่ยังไม่ร้อนจนเกินไป ตกบ่ายแสงแดดก็ไม่สาดเข้ามา และรับลมเย็นในช่วงหน้าหนาว.

3.จัดการเรื่องหลังคา

   ใส่ฟอยด์กันความร้อนหลังคา

   ใส่ฉนวนกันความร้อน

  • EPS

  • PU

  • Glasswool

  • Rockwool

จัดการให้มีระบบระบายอากาศ ให้ลมเย็นหรือลมดีเข้าด้านล่างหรือตัวบ้าน ดึงลมร้อนขึ้นด้านบนใต้หลังตา และเพิ่มตัวระบายความร้อนที่ใต้หลังคาออกจากตัวบ้าน ด้วยตัวดูดอากาศหรือลูกหมุน

 

4.เลือกวัสดุในการสร้างบ้าน วัสดุหลังคา วัสดุผนัง ผนังมวลเบา ผนังโฟม  สีทาบ้าน กระจกกันความร้อน ปัจจุบันมีวัสดุที่ออกแบบมาเพื่อการกันความร้อนค่อนข้างเยอะ เราสามารถเลือกวัสดุที่จะมาใช้ได้หลากหลาย เช่น สีทาบ้านกันความร้อน กระจกกันความร้อน วัสดุผนังต่างๆทั้งนี้ก็เลือกให้เหมาะสมกับ งบประมาณ และความพอใจของเราได้เลย

5.ปลูกต้นไม้บังแดด ไม่ให้แดดมาโดนตัวบ้านโดยตรง ช่วยเพิ่มความร่มลื่นและความสวยงามให้กับตัวบ้านแล้ว ยังช่วยลดความร้อนได้เป็นอย่างดี

6.เสริมระแนงกันแดด เพื่อช่วยกันความร้อนในบริเวณที่โดนแดดมาก 

หากทำตาม 6 ข้อด้านบนแล้วมั่นใจได้เลยว่าจะช่วยลดความร้อนลงอย่างน้อย  3-5 องศา ได้แน่นอน

ทีนี้หากเราอยากติดเครื่องปรับอากาศ ในบ้านก็จะไม่ต้องเปิดบ่อยๆ ไม่เปลืองไฟ หรือถ้าบ้านใครสามารถจัดการความร้อนได้ดีๆ อาจจะใช้แค่พัดลมก็เพียงพอแล้ว

โลโก้ตัวแทนจำหน่าย
  กระเบื้องบีเซน
วิธีทำให้บ้านเย็น

วิธีทำให้บ้านเย็น ไม่ต้องง้อแอร์ให้เปลืองค่าไฟ

     ประเทศไทยเราเรียกได้ว่าอาจจะเป็นหน้าร้อนตลอดทั้งปีเลยก็ว่าได้จะมีช่วงเวลาที่เป็นหน้าหนาวกับหน้าฝนเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แล้ววันนี้เราจึงจะนำพาทุกท่านมาพบกับเทคนิคลดความร้อนภายในบ้านไม่ว่าจะช่วงหน้าร้อนหรือช่วงหน้าไหนหากรู้สึกบ้านร้อนอยู่ไม่ได้สามารถนำไปใช้ได้เลย รับประกันเลยว่าเมื่อท่านอ่านบทความจบแล้วจะสามารถนำเทคนิคการลดความร้อนภายในบ้านไปใช้ได้จริง

อยากให้บ้านเย็นต้องเริ่มตั้งแต่การวางโครงสร้างและภูมิทัศน์

1.การวางผังบ้านให้บ้านเย็น

ทิศใต้ ทิศตะวันตก แดดเยอะที่สุด

ทิศเหนือ ทิศตะวันออก แดดน้อย

จัดวางให้ห้องแต่ละห้องอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องทำงานให้อยู่ในทิศที่แดดน้อย

จัดห้องที่ต้องการความร้อนช่วยจัดการความชื้น มาไว้ในทางทิศที่โดนแดดเยอะ เช่น ห้องน้ำ โซนซักล้าง ห้องครัว

เพื่อเราจะได้ใช้ห้องแต่ละห้องอย่างมีความสุขที่สุด และยังใช้แสงแดดให้เกิดประโยชน์ด้วย

2.ทิศทางลม 

ทิศทางลมในแต่ละฤดู

  1. ฤดูร้อน (ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม) ลมจะพัดมาทางทิศใต้ ถือว่าเป็นลมที่ดี ช่วยลดความร้อนของอากาศลงได้

การวางทิศบ้านให้หันไปทางทิศใต้ ถือเป็นทิศที่ดี เพราะเป็นทิศที่มีลมพัดเข้าบ้านตลอด จึงควรจัดให้มีช่องลม หน้าต่าง หรือประตูที่ให้ลมเข้า เพื่อดึงลมเข้าบ้านให้มากที่สุด รวมทั้งไม่ควรปลูกต้นไม้ใหญ่บังหน้าบ้าน เพราะจะเป็นการบังทิศทางลม หากพื้นที่หน้าบ้านกว้างควรขุดบ่อน้ำ หรือทำสระน้ำไว้หน้าบ้าน เพื่อให้ลดพัดความเย็นเข้าสู่ตัวบ้าน.

  1. ฤดูฝน (ช่วงเดือนมิถุนายน-พฤศจิกายน) ลมจะพัดมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ลมนี้เรียกว่า “ลมมรสุม”

การวางทิศบ้านให้หันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จะได้รับอิทธิพลของลมมากที่สุด หากในแง่ของการวางทิศบ้านให้ถูกทิศทางลมแล้ว ถือว่าทิศนี้รับลมได้ดีที่สุด แต่ข้อเสียคือบ้านตั้งอยู่ในแนวลมมรสุม ซึ่งเสี่ยงต่อการที่บ้านจะเสียหายจากลมพายุได้ง่ายเมื่อเกิดพายุฝน ควรหาต้นไม้ใหญ่หรือแนวกำแพงเพื่อป้องกันลมมรสุมในทิศนี้แต่ต้องเว้นระยะห่างจากตัวบ้านด้วย.

  1. ฤดูหนาว (ช่วงธันวาคม-กุมภาพันธ์) ทิศทางลมจะพัดมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือเรียกว่า “ลมหนาว”

แนะนำเป็นห้องรับแขก ห้องนั่งเล่นหรือห้องทำงาน เพื่อรับแสงแดดในช่วงเช้าที่ยังไม่ร้อนจนเกินไป ตกบ่ายแสงแดดก็ไม่สาดเข้ามา และรับลมเย็นในช่วงหน้าหนาว.

3.จัดการเรื่องหลังคา

   ใส่ฟอยด์กันความร้อนหลังคา

   ใส่ฉนวนกันความร้อน

  • EPS

  • PU

  • Glasswool

  • Rockwool

จัดการให้มีระบบระบายอากาศ ให้ลมเย็นหรือลมดีเข้าด้านล่างหรือตัวบ้าน ดึงลมร้อนขึ้นด้านบนใต้หลังตา และเพิ่มตัวระบายความร้อนที่ใต้หลังคาออกจากตัวบ้าน ด้วยตัวดูดอากาศหรือลูกหมุน

4.เลือกวัสดุในการสร้างบ้าน วัสดุหลังคา วัสดุผนัง ผนังมวลเบา ผนังโฟม  สีทาบ้าน กระจกกันความร้อน ปัจจุบันมีวัสดุที่ออกแบบมาเพื่อการกันความร้อนค่อนข้างเยอะ เราสามารถเลือกวัสดุที่จะมาใช้ได้หลากหลาย เช่น สีทาบ้านกันความร้อน กระจกกันความร้อน วัสดุผนังต่างๆทั้งนี้ก็เลือกให้เหมาะสมกับ งบประมาณ และความพอใจของเราได้เลย

5.ปลูกต้นไม้บังแดด ไม่ให้แดดมาโดนตัวบ้านโดยตรง ช่วยเพิ่มความร่มลื่นและความสวยงามให้กับตัวบ้านแล้ว ยังช่วยลดความร้อนได้เป็นอย่างดี

6.เสริมระแนงกันแดด เพื่อช่วยกันความร้อนในบริเวณที่โดนแดดมาก 

หากทำตาม 6 ข้อด้านบนแล้วมั่นใจได้เลยว่าจะช่วยลดความร้อนลงอย่างน้อย  3-5 องศา ได้แน่นอน

    ทีนี้หากเราอยากติดเครื่องปรับอากาศ ในบ้านก็จะไม่ต้องเปิดบ่อยๆ ไม่เปลืองไฟ หรือถ้าบ้านใครสามารถจัดการความร้อนได้ดีๆ อาจจะใช้แค่พัดลมก็เพียงพอแล้ว

โลโก้ตัวแทนจำหน่าย
  กระเบื้องบีเซน

ค่า R กระเบื้องคืออะไร? สำคัญยังไง?

ค่า R ของกระเบื้อง (1)

ค่า R กระเบื้องคืออะไร? สำคัญยังไง?

 

   โดยปกติแล้วการจะเลือกกระเบื้องมาใช้ปูพื้นและผนังบ้าน หรือใช้ในสถานที่ต่างๆ หลายคนอาจให้ความสำคัญในเรื่องของขนาด สีสัน ลวดลาย และความสวยงามเป็นหลัก เนื่องจากองค์ประกอบดังกล่าวเป็นลักษณะภายนอกที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งสามารถใช้ตกแต่งพื้นที่ให้มีความสวยงามและสร้างความโดดเด่นในสไตล์ต่างๆ ได้อีกด้วย เช่นนี้เองจึงทำให้ใครหลายคนเลือกลักษณะภายนอกของกระเบื้องเป็นหลัก อย่างไรก็ตามการเลือกกระเบื้องมาใช้งานในพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของพื้นหรือผนังในห้องนอน ห้องรับแขก ห้องครัว ห้องน้ำ หรือพื้นที่ใดก็ตามแต่ นอกจากขนาด สีสันและลวดลายแล้ว อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ควรคำนึงถึงก็คือ ค่ากันความลื่น หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “ค่า R” นั่นเอง ซึ่งบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับค่า R ของกระเบื้อง มาดูกันว่าค่าดังกล่าวคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรกับการเลือกกระเบื้อง

 

ค่า R คืออะไร?

    ค่า R ในกระเบื้อง หรือ SLIP RESISTANCE RATING ที่แปลว่า ค่ากันความลื่นเป็นค่าที่ได้มา จากการทดสอบ Ramp Test โดยการปูกระเบื้องบนทางลาดชันในระดับองศาที่ต่างกัน เพื่อ ทดสอบความกันลื่นของพื้นผิวกระเบื้อง ซึ่งถ้าหาก องศาความลาดชันเพิ่มขึ้น ระดับของค่า R ของแต่ละพื้นผิวจะสูงขึ้นตามไปด้วย โดยมีการแบ่งระดับของค่า R กระเบื้องตามระดับองศาและ พื้นที่การใช้งานไว้ตามระดับต่างๆ 

   โดยส่วนใหญ่ที่จะเห็นกันอยู่ที่ R9-R13 ค่า R ยิ่งสูงก็ยิ่งกันลื่นได้ดี แต่ไม่ได้แปลว่าจะตอบโจทย์การใช้งานได้ดีนะ เพราะสำหรับการใช้งาน เราควรเลือกกระเบื้องที่มีค่า R ที่เหมาะสมไม่ใช่ค่า R เยอะเพียงอย่างเดียว เข้าใจตรงกันนะทุกคน.

 

แล้วค่า R สำคัญยังไงกับการเลือกกระเบื้อง?

เมื่อเราทราบแล้วว่าค่า R คือค่ากันความลื่นซึ่งหมายถึงว่าค่า R นั้นจะสามารถบอกเราได้ว่ากระเบื้องที่เราจะซื้อนั้นเหมาะกับการใช้งานในพื้นที่แบบใหน

  • กระเบื้องที่มีค่า R สูง โดยส่วนมากจะอยู่ที่ R11 – R13 จะเหมาะกับพื้นที่ที่มีความลื่นมาก เช่น พื้นที่เปียกน้ำ ห้องน้ำ รอบสระน้ำ พื้นที่หน้าบ้าน ทางลาดชัน ลานจอดรถ หรือพื้นที่ต้องโดนน้ำมันหรือไขมัน พื้นที่พวกนี้จำเป็นต้องใช้กระเบื้องที่มีความหยาบของกระเบื้องสูงเพราะจะช่วยให้ คนที่ใช้งานพื้นที่นั้นๆ ไม่ลื่นเวลาเดิน หรือ อย่างพื้นที่จอดรถหากเราใช้กระเบื้องที่มีค่า R ต่ำ เวลาที่โดนน้ำจะทำให้ยางรถไม่เกาะพื้นและทำให้เสียหลักและเกิดอุบัติเหตุได้.

 •  กระเบื้องที่มีค่า R ต่ำ อยู่ที่ R10 ลงไป กระเบื้องที่มีค่า R ต่ำจะเหมาะกับพื้นที่แห้งไม่โดนน้ำ เช่น พื้นที่ห้องโถง ห้องรับแขก ห้องนอน ทางเดิน หรือพื้นที่ในอาคารที่ไม่เปียกน้ำ ผิวหน้าจะมีความเรียบ เวลาถอดรองเท้าเดินจะให้ความสบายเท้า ไม่รู้สึกสาก กระด้าง 

   ส่วนจะเลือกเท่าไหร่นั้น ให้เราตัดสินใจเอาเองว่าเมื่อดูสินค้าจริงแล้ว ลองเทสดูแล้วค่า R ประมาณใหนที่เรารู้สึกว่าเพียงพอกับการใช้งานของเรา เราก็สามารถเลือกได้เลย.

ค่า R ของกระเบื้อง (3)

ประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อเลือกกระเบื้องได้เหมาะสม

     • ความปลอดภัยในการใช้งาน

เป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะหากเราใช้งานกระเบื้องผิดประเภท เอากระเบื้องลื่นๆมาใช้ในพื้นที่ที่มีความลื่นมาก อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุตามมาซึ่งอาจจะอันตรายถึงชีวิตได้เลย ฉะนัั้นควรเลือกให้เหมาะสม.

     • ประหยัดงบประมาณ

เพราะหากเราเลือกกระเบื้องผิด แล้วไม่สามารถใช้งานได้สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการปูกระเบื้องใหม่ ซึ่งจะทำให้เราเสียเงินเสียเวลาแน่นอน
และอีกเรื่องคือหากเกิดอุบัติเหตุเราต้องมีค่ารักษาพยาบาลอีก ซึ่งเราก็ไม่จำเป็นต้องเสียหากเราเลือกกระเบื้องมาดีแล้วตั้งแต่แรก.

     ฉะนั้นการเลือกกระเบื้องที่มีค่า R ที่เหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะมีผลกับการเกิดอุบัติเหตุในการใช้งานได้ และถึงแม้ว่าเราเลือกกระเบื้องที่มีค่า R เหมาะสมแล้วแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีการลื่นเลย แต่กระเบื้องที่มีความหยาบมากก็จะมีโอกาสลื่นน้อยกว่าแบบเรียบๆ อีกเรื่องก็คือการดูแลความสะอาด เราควรทำความสะอาดพื้นอยู่เสมอไม่ปล่อยให้เกิดคราบสะสม คราบตะไคร่ เพราะจะทำให้กระเบื้องลื่นได้เช่นกัน.

     ใครที่อยากใช้กระเบื้องพื้นที่มีค่า R สูงและคุณภาพดี กระเบื้องพื้นของทางบีเซนเรามีค่า R สูงถึง R12 เป็นกระเบื้องเนื้อพอร์ซเลน ดูดซึมน้ำต่ำ และยังรับประกันไม่เกิดเชื้อราในเนื้อกระเบื้องตลอดอายุการใช้งาน ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการกระเบื้องคุณภาพสูง ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://bit.ly/40Bjw9G

  กระเบื้องบีเซน
โลโก้ตัวแทนจำหน่าย
ค่า R ของกระเบื้อง (1)

ค่า R กระเบื้องคืออะไร? สำคัญยังไง?

   โดยปกติแล้วการจะเลือกกระเบื้องมาใช้ปูพื้นและผนังบ้าน หรือใช้ในสถานที่ต่างๆ หลายคนอาจให้ความสำคัญในเรื่องของขนาด สีสัน ลวดลาย และความสวยงามเป็นหลัก เนื่องจากองค์ประกอบดังกล่าวเป็นลักษณะภายนอกที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งสามารถใช้ตกแต่งพื้นที่ให้มีความสวยงามและสร้างความโดดเด่นในสไตล์ต่างๆ ได้อีกด้วย เช่นนี้เองจึงทำให้ใครหลายคนเลือกลักษณะภายนอกของกระเบื้องเป็นหลัก อย่างไรก็ตามการเลือกกระเบื้องมาใช้งานในพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของพื้นหรือผนังในห้องนอน ห้องรับแขก ห้องครัว ห้องน้ำ หรือพื้นที่ใดก็ตามแต่ นอกจากขนาด สีสันและลวดลายแล้ว อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ควรคำนึงถึงก็คือ ค่ากันความลื่น หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “ค่า R” นั่นเอง ซึ่งบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับค่า R ของกระเบื้อง มาดูกันว่าค่าดังกล่าวคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรกับการเลือกกระเบื้อง

 

ค่า R คืออะไร?

    ค่า R ในกระเบื้อง หรือ SLIP RESISTANCE RATING ที่แปลว่า ค่ากันความลื่นเป็นค่าที่ได้มา จากการทดสอบ Ramp Test โดยการปูกระเบื้องบนทางลาดชันในระดับองศาที่ต่างกัน เพื่อ ทดสอบความกันลื่นของพื้นผิวกระเบื้อง ซึ่งถ้าหาก องศาความลาดชันเพิ่มขึ้น ระดับของค่า R ของแต่ละพื้นผิวจะสูงขึ้นตามไปด้วย โดยมีการแบ่งระดับของค่า R กระเบื้องตามระดับองศาและ พื้นที่การใช้งานไว้ตามระดับต่างๆ 

   โดยส่วนใหญ่ที่จะเห็นกันอยู่ที่ R9-R13 ค่า R ยิ่งสูงก็ยิ่งกันลื่นได้ดี แต่ไม่ได้แปลว่าจะตอบโจทย์การใช้งานได้ดีนะ เพราะสำหรับการใช้งาน เราควรเลือกกระเบื้องที่มีค่า R ที่เหมาะสมไม่ใช่ค่า R เยอะเพียงอย่างเดียว เข้าใจตรงกันนะทุกคน.

แล้วค่า R สำคัญยังไงกับการเลือกกระเบื้อง?

เมื่อเราทราบแล้วว่าค่า R คือค่ากันความลื่นซึ่งหมายถึงว่าค่า R นั้นจะสามารถบอกเราได้ว่ากระเบื้องที่เราจะซื้อนั้นเหมาะกับการใช้งานในพื้นที่แบบใหน

  • กระเบื้องที่มีค่า R สูง โดยส่วนมากจะอยู่ที่ R11 – R13 จะเหมาะกับพื้นที่ที่มีความลื่นมาก เช่น พื้นที่เปียกน้ำ ห้องน้ำ รอบสระน้ำ พื้นที่หน้าบ้าน ทางลาดชัน ลานจอดรถ หรือพื้นที่ต้องโดนน้ำมันหรือไขมัน พื้นที่พวกนี้จำเป็นต้องใช้กระเบื้องที่มีความหยาบของกระเบื้องสูงเพราะจะช่วยให้ คนที่ใช้งานพื้นที่นั้นๆ ไม่ลื่นเวลาเดิน หรือ อย่างพื้นที่จอดรถหากเราใช้กระเบื้องที่มีค่า R ต่ำ เวลาที่โดนน้ำจะทำให้ยางรถไม่เกาะพื้นและทำให้เสียหลักและเกิดอุบัติเหตุได้.

 •  กระเบื้องที่มีค่า R ต่ำ อยู่ที่ R10 ลงไป กระเบื้องที่มีค่า R ต่ำจะเหมาะกับพื้นที่แห้งไม่โดนน้ำ เช่น พื้นที่ห้องโถง ห้องรับแขก ห้องนอน ทางเดิน หรือพื้นที่ในอาคารที่ไม่เปียกน้ำ ผิวหน้าจะมีความเรียบ เวลาถอดรองเท้าเดินจะให้ความสบายเท้า ไม่รู้สึกสาก กระด้าง 

   ส่วนจะเลือกเท่าไหร่นั้น ให้เราตัดสินใจเอาเองว่าเมื่อดูสินค้าจริงแล้ว ลองเทสดูแล้วค่า R ประมาณใหนที่เรารู้สึกว่าเพียงพอกับการใช้งานของเรา เราก็สามารถเลือกได้เลย.

ค่า R ของกระเบื้อง (3)

ประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อเลือกกระเบื้องได้เหมาะสม

     • ความปลอดภัยในการใช้งาน

เป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะหากเราใช้งานกระเบื้องผิดประเภท เอากระเบื้องลื่นๆมาใช้ในพื้นที่ที่มีความลื่นมาก อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุตามมาซึ่งอาจจะอันตรายถึงชีวิตได้เลย ฉะนัั้นควรเลือกให้เหมาะสม.

     • ประหยัดงบประมาณ

เพราะหากเราเลือกกระเบื้องผิด แล้วไม่สามารถใช้งานได้สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการปูกระเบื้องใหม่ ซึ่งจะทำให้เราเสียเงินเสียเวลาแน่นอน
และอีกเรื่องคือหากเกิดอุบัติเหตุเราต้องมีค่ารักษาพยาบาลอีก ซึ่งเราก็ไม่จำเป็นต้องเสียหากเราเลือกกระเบื้องมาดีแล้วตั้งแต่แรก.

     ฉะนั้นการเลือกกระเบื้องที่มีค่า R ที่เหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะมีผลกับการเกิดอุบัติเหตุในการใช้งานได้ และถึงแม้ว่าเราเลือกกระเบื้องที่มีค่า R เหมาะสมแล้วแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีการลื่นเลย แต่กระเบื้องที่มีความหยาบมากก็จะมีโอกาสลื่นน้อยกว่าแบบเรียบๆ อีกเรื่องก็คือการดูแลความสะอาด เราควรทำความสะอาดพื้นอยู่เสมอไม่ปล่อยให้เกิดคราบสะสม คราบตะไคร่ เพราะจะทำให้กระเบื้องลื่นได้เช่นกัน.

     ใครที่อยากใช้กระเบื้องพื้นที่มีค่า R สูงและคุณภาพดี กระเบื้องพื้นของทางบีเซนเรามีค่า R สูงถึง R12 เป็นกระเบื้องเนื้อพอร์ซเลน ดูดซึมน้ำต่ำ และยังรับประกันไม่เกิดเชื้อราในเนื้อกระเบื้องตลอดอายุการใช้งาน ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการกระเบื้องคุณภาพสูง ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://bit.ly/40Bjw9G

  กระเบื้องบีเซน
โลโก้ตัวแทนจำหน่าย

ยาแนวกระเบื้องเพื่ออะไร? 10 เหตุผลทำไมคุณต้องยาแนวกระเบื้อง

ยาแนวกระเบื้อง (1)

ยาแนวกระเบื้องเพื่ออะไร? 10 เหตุผลทำไมคุณต้องยาแนวกระเบื้อง

หลายคนคงสงสัยว่าทำไมเมื่อปูกระเบื้องทุกครั้งต้องมีการยาแนวกระเบื้อง แล้วต้องยาแนวเพื่ออะไรในเมื่อตัวกระเบื้องนั้นก็มีการฉาบปูนและปิดทับลงไปที่พื้นเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจึงจะพาทุกท่านมารู้จักกับเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อปูกระเบื้องต้องมีการยาแนวกระเบื้องทุกครั้ง จะพาทุกท่านมาคลายทุกข์ข้อสงสัยและหาเหตุผลว่าทำไมจึงต้องปูกระเบื้องแล้วต้องยาแนวกระเบื้อง เข้ามาอ่านกระทู้นี้แล้วท่านจะต้องเข้าใจไม่มีสิ่งใดมาติดขัดในด้านความสงสัยของทุกท่านอย่างแน่นอน การยาแนวกระเบื้องในปัจจุบันบอกเลยว่าเป็นอะไรที่สามารถทำได้ง่ายเป็นอย่างมาก แม้ไม่ใช่ช่างที่มีความชำนาญการไม่ใช่ช่างมืออาชีพก็สามารถทำได้

 

ยาแนวคืออะไรทำไมต้องนำมาใช้เมื่อปูกระเบื้อง

     การยาแนวกระเบื้องหรือการยาแนวร่องเป็นขั้นตอนหนึ่งในขั้นตอนที่เมื่อมีการปูกระเบื้องแล้วจะต้องมีการปิดท้ายการยาแนวทุกครั้ง ทายาแนวนั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในด้านโครงสร้างของการใช้งานการสร้างบ้านให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ช่วยรองรับการยืดหยุ่นของกระเบื้อง และช่วยยึดติดกระเบื้องไม่ให้แตกหักออกจากกันได้ง่าย นอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านโครงสร้างของตัวกระเบื้องแล้วนั้น ยังทำให้บ้านมีความสวยงาม และสามารถใช้กระเบื้องได้อย่างทนทานยาวนานมากยิ่งขึ้น การปูกระเบื้องพื้นส่วนใหญ่จะมีการยาแนว แต่ในงานผนังบางครั้งเราก็ไม่ยาแนว ขึ้นอยู่กับลักษณะของกระเบื้องที่เราใช้ด้วย อย่างของกระเบื้องบีเซนในบางรุ่นของเราก็ไม่ต้องยาแนว

ประเภทของมีกี่แบบและใช้งานแตกต่างอย่างไร

บอกเลยว่ายาแนวนั้นมีหลายประเภทเป็นอย่างมาก วันนี้เราจึงจะพาทุกท่านมารู้จักกับประเภทของยาแล้วกระเบื้องว่ามีกี่ประเภทและใช้งานแตกต่างกันอย่างไร เพื่อที่ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้จะสามารถนำไปปรับใช้กับการปูกระเบื้องของท่านได้ด้วยตัวของท่านเอง

 

  • ยาแนวกระเบื้องประเภทแบบกันเชื้อรา

โดยยาแนวในรูปแบบนี้นิยมใช้กับกระเบื้องผนังโดยทั่วไป ซึ่งตัวยาแนวจะมีสารเคมีที่มีประสิทธิภาพในด้านการป้องกันเชื้อราได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญยังช่วยยับยั้งการเกิดเชื้อราได้อีกด้วย ราคาของยาแนวประเภทนี้จะมีราคาที่สูงแต่สามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่าเพราะว่าทำความสะอาดง่ายและสามารถใช้งานได้อย่างยาวนานกันเลยทีเดียว ประสิทธิภาพในการใช้งานยาวนานและคงทนขณะนี้บอกเลยว่าราคาเท่าไหร่ก็ไม่ใช่ปัญหา

  • ยาแนวกระเบื้อง ประเภทกระเบื้องแบบร่องใหญ่

การเลือก ยาแนวกระเบื้อง ประเภทนี้ก็เป็นหนึ่งในรูปแบบของการเลือกยาแนวที่ได้รับความนิยมสูงเป็นอย่างมาก โดยเนื้อยาแนวที่ใช้กับกระเบื้องประเภทร่องใหญ่จะใช้ยาแนวที่เป็นเนื้อหยาบ ช่วยเพิ่มพื้นที่ให้กระเบื้องได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมและช่วยเติมเต็มร่องกระเบื้องให้มีความสมบูรณ์ได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยยาแนวประเภทนี้จะเหมาะกับการใช้งานในการปูกระเบื้องแผ่นใหญ่หรือขนาดใหญ่เพราะจะช่วยให้ประสิทธิภาพการใช้งานยาวนานและมีความทนทานเป็นอย่างมาก

  • ยาแนวกระเบื้องยาแนวประเภทร่องเล็ก

การเลือกใช้ยาแนวประเภทกระเบื้องที่เป็นแบบร่องเล็กนี้แนะนำว่าควรใช้ยาแนวที่มีลักษณะเป็นเนื้อเหลว เพราะจะช่วยเติมเต็มร่องเล็กได้เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่ยาแนวกระเบื้องประเภทนี้จะนิยมใช้กับกระเบื้องหินอ่อนเพราะจะสามารถทำการยาแนวตรงจุดช่องว่างได้เป็นอย่างนี้ ทำให้ตัวกระเบื้องมีประสิทธิภาพในด้านการใช้งานที่สูงมากยิ่งขึ้น

  • ยาแนวกระเบื้องประเภทธรรมดา

ยาแนวกระเบื้องในรูปแบบนี้สามารถใช้งานได้กับกระเบื้องประเภททั่วไป ไม่ว่าจะเป็นกระเบื้องปูพื้นผนัง ซึ่งกระเบื้องตัวนี้จะมีราคาที่ถูกและประหยัดเป็นอย่างมาก ข้อเสียคือจะไม่ป้องกันการรั่วซึมหรือไม่สามารถป้องกันเชื้อราต่าง ๆ ได้หรือหากป้องกันได้ก็สามารถป้องกันได้น้อยมาก

  • ยาแนวกระเบื้องประเภท Epoxy

ยาแนวประเภทนี้ค่อนข้างมีราคาสูงแต่มาพร้อมคุณภาพแบบจัดเต็ม นิยมใช้ในห้องน้ำหรือห้องครัวเพราะสามารถป้องกันน้ำได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญยังป้องกันการรั่วซึมได้สูงเป็นอย่างมาก ทำให้มีความทนทานในด้านการใช้งานและมีความแข็งแรงสูงเป็นอย่างมาก ตอบโจทย์การใช้งานกับพื้นที่ที่ต้องพบเจอกับน้ำบ่อย

  • ยาแนวกระเบื้องประเภททนแรงอัดน้ำ

ยาแนวประเภทนี้ก็เป็นอีกหนึ่งประเภทที่นิยมใช้ในห้องน้ำ จะทนแรงอัดในการใช้งานได้ดียิ่งกว่าประเภท Epoxy เนื่องจากว่าตัวนี้จะนิยมใช้ใน ซาวน่า บ่อน้ำหรือสระว่ายน้ำ มีความทนทานสูงเป็นอย่างมากและที่สำคัญยังลดการเกิดเชื้อราต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

  • ยาแนวกระเบื้องประเภทหลอดสำเร็จรูป

ยาแนวประเภทนี้มีการบรรจุและผสมมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพิ่มความสะดวกสบายในด้านการใช้งานให้แก่ผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่ยาแนวประเภทนี้จะไม่นิยมนำมายาแนวกระเบื้องที่ปูเสร็จใหม่ จะนำมาซ่อมแซมหรืออุดรูส่วนที่สึกหรอไปนั่นเอง

เมื่อได้รู้จักกับประเภทของยาแนวแล้วก็อย่าลืมเลือกใช้ให้ถูกต้องตามประเภทของการใช้งานและประเภทห้องของท่านด้วย เพื่ออายุในการใช้งานที่ยาวนานของกระเบื้องและยาแนวของท่าน

ยาแนวกระเบื้อง (2)

10 เหตุผลที่เมื่อปูกระเบื้องต้องทำการใช้ยาแนวทุกครั้ง

 

เหตุผลทำไมเมื่อปูกระเบื้องแล้วต้องการทำการยาแนวกระเบื้องทุกครั้ง วันนี้เราจะพาทุกท่านไปดูเหตุผลของการยาแนวกระเบื้องกัน

 

  1. ป้องกันกระเบื้องระเบิด โดยหากปูกระเบื้องแล้วไม่มีการยาแนวมีโอกาสสูงมากที่กระเบื้องจะระเบิดและอาจทำให้ผู้คนที่อยู่อาศัยภายในบ้านเกิดอาการบาดเจ็บได้
  2. ป้องกันกระเบื้องแตกร้าว การยาแนวกระเบื้องจะช่วยให้กระเบื้องนั้นลดความเสี่ยงในการแตกร้าวและสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานได้อย่างยาวนาน
  3. ช่วยเพิ่มความสวยงามให้พื้นบ้าน หากพื้นบ้านที่ไม่มีการยาแนวก็ดูเหมือนจะไม่เสร็จสิ้นและมีช่องว่างที่ดูไม่สวยงามตาสักเท่าไหร่ การยาแนวจึงช่วยได้
  4. ช่วยลดการสะสมสิ่งสกปรก ช่องว่างของการปูกระเบื้องหากไม่มีการยาแนวบอกเลยว่านั่นคือแหล่งสะสมความสกปรกชั้นดี ดังนั้นเมื่อมีการย้ายแล้วจะช่วยลดในส่วนนี้ได้
  5. ช่วยลดการเกิดเชื้อราในกระเบื้อง ภายใต้กระเบื้องหากไม่มีการยาแนวอาจจะทำให้เกิดเชื้อราและตัวกระเบื้องอาจจะมีประสิทธิภาพในการใช้งานลดลง
  6. ช่วยป้องกันการรั่วซึมของพื้น การยาแนวกระเบื้องนอกจากจะได้ความสวยงามแล้วยังช่วยป้องกันการรั่วซึมของพื้นบ้านได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นห้องครัวห้องน้ำ
  7. ช่วยป้องกันผู้คนจากสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ บางทีการมีช่องว่างระหว่างกระเบื้องที่ไม่ได้ยาแนวนั้นอาจเป็นแหล่งที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้รับเชิญ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง หรือสัตว์ร้ายชนิดอื่นอีกมากมาย
  8. ช่วยให้กระเบื้องใช้งานได้อย่างทนทาน เมื่อมีการยาแนวกระเบื้องก็จะทำให้กระเบื้องใช้งานได้อย่างทนทานเพราะเป็นการเก็บขอบกระเบื้องทำให้ไม่แตกหักไว
  9. ช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่าย เมื่อมีการยาแนวไม่มีร่องของกระเบื้องก็จะทำให้การทำความสะอาดนั้นง่ายดายมากยิ่งขึ้น
  10. ช่วยลดการเกิดน้ำขัง การยาแนวกระเบื้องสามารถช่วยลดการเกิดน้ำขังได้ เช่น ในห้องน้ำหรือห้องครัวหากมีการใช้น้ำแล้วไม่ได้ยาแนวกระเบื้องน้ำอาจจะขังในร่องกระเบื้องที่ปูก็เป็นได้

 

โลโก้ตัวแทนจำหน่าย
  กระเบื้องบีเซน
ยาแนวกระเบื้อง (1)

ยาแนวกระเบื้องเพื่ออะไร? 10 เหตุผลทำไมคุณต้องยาแนวกระเบื้อง

หลายคนคงสงสัยว่าทำไมเมื่อปูกระเบื้องทุกครั้งต้องมีการยาแนวกระเบื้อง แล้วต้องยาแนวเพื่ออะไรในเมื่อตัวกระเบื้องนั้นก็มีการฉาบปูนและปิดทับลงไปที่พื้นเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจึงจะพาทุกท่านมารู้จักกับเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อปูกระเบื้องต้องมีการยาแนวกระเบื้องทุกครั้ง จะพาทุกท่านมาคลายทุกข์ข้อสงสัยและหาเหตุผลว่าทำไมจึงต้องปูกระเบื้องแล้วต้องยาแนวกระเบื้อง เข้ามาอ่านกระทู้นี้แล้วท่านจะต้องเข้าใจไม่มีสิ่งใดมาติดขัดในด้านความสงสัยของทุกท่านอย่างแน่นอน การยาแนวกระเบื้องในปัจจุบันบอกเลยว่าเป็นอะไรที่สามารถทำได้ง่ายเป็นอย่างมาก แม้ไม่ใช่ช่างที่มีความชำนาญการไม่ใช่ช่างมืออาชีพก็สามารถทำได้

ยาแนวคืออะไรทำไมต้องนำมาใช้เมื่อปูกระเบื้อง

     การยาแนวกระเบื้องหรือการยาแนวร่องเป็นขั้นตอนหนึ่งในขั้นตอนที่เมื่อมีการปูกระเบื้องแล้วจะต้องมีการปิดท้ายการยาแนวทุกครั้ง ทายาแนวนั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในด้านโครงสร้างของการใช้งานการสร้างบ้านให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ช่วยรองรับการยืดหยุ่นของกระเบื้อง และช่วยยึดติดกระเบื้องไม่ให้แตกหักออกจากกันได้ง่าย นอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านโครงสร้างของตัวกระเบื้องแล้วนั้น ยังทำให้บ้านมีความสวยงาม และสามารถใช้กระเบื้องได้อย่างทนทานยาวนานมากยิ่งขึ้น การปูกระเบื้องพื้นส่วนใหญ่จะมีการยาแนว แต่ในงานผนังบางครั้งเราก็ไม่ยาแนว ขึ้นอยู่กับลักษณะของกระเบื้องที่เราใช้ด้วย อย่างของกระเบื้องบีเซนในบางรุ่นของเราก็ไม่ต้องยาแนว

ประเภทของมีกี่แบบและใช้งานแตกต่างอย่างไร

บอกเลยว่ายาแนวนั้นมีหลายประเภทเป็นอย่างมาก วันนี้เราจึงจะพาทุกท่านมารู้จักกับประเภทของยาแล้วกระเบื้องว่ามีกี่ประเภทและใช้งานแตกต่างกันอย่างไร เพื่อที่ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้จะสามารถนำไปปรับใช้กับการปูกระเบื้องของท่านได้ด้วยตัวของท่านเอง

     ยาแนวกระเบื้องประเภทแบบกันเชื้อรา

โดยยาแนวในรูปแบบนี้นิยมใช้กับกระเบื้องผนังโดยทั่วไป ซึ่งตัวยาแนวจะมีสารเคมีที่มีประสิทธิภาพในด้านการป้องกันเชื้อราได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญยังช่วยยับยั้งการเกิดเชื้อราได้อีกด้วย ราคาของยาแนวประเภทนี้จะมีราคาที่สูงแต่สามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่าเพราะว่าทำความสะอาดง่ายและสามารถใช้งานได้อย่างยาวนานกันเลยทีเดียว ประสิทธิภาพในการใช้งานยาวนานและคงทนขณะนี้บอกเลยว่าราคาเท่าไหร่ก็ไม่ใช่ปัญหา

     ยาแนวกระเบื้อง ประเภทกระเบื้องแบบร่องใหญ่

การเลือก ยาแนวกระเบื้อง ประเภทนี้ก็เป็นหนึ่งในรูปแบบของการเลือกยาแนวที่ได้รับความนิยมสูงเป็นอย่างมาก โดยเนื้อยาแนวที่ใช้กับกระเบื้องประเภทร่องใหญ่จะใช้ยาแนวที่เป็นเนื้อหยาบ ช่วยเพิ่มพื้นที่ให้กระเบื้องได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมและช่วยเติมเต็มร่องกระเบื้องให้มีความสมบูรณ์ได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยยาแนวประเภทนี้จะเหมาะกับการใช้งานในการปูกระเบื้องแผ่นใหญ่หรือขนาดใหญ่เพราะจะช่วยให้ประสิทธิภาพการใช้งานยาวนานและมีความทนทานเป็นอย่างมาก

     ยาแนวกระเบื้องยาแนวประเภทร่องเล็ก

การเลือกใช้ยาแนวประเภทกระเบื้องที่เป็นแบบร่องเล็กนี้แนะนำว่าควรใช้ยาแนวที่มีลักษณะเป็นเนื้อเหลว เพราะจะช่วยเติมเต็มร่องเล็กได้เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่ยาแนวกระเบื้องประเภทนี้จะนิยมใช้กับกระเบื้องหินอ่อนเพราะจะสามารถทำการยาแนวตรงจุดช่องว่างได้เป็นอย่างนี้ ทำให้ตัวกระเบื้องมีประสิทธิภาพในด้านการใช้งานที่สูงมากยิ่งขึ้น

     ยาแนวกระเบื้องประเภทธรรมดา

ยาแนวกระเบื้องในรูปแบบนี้สามารถใช้งานได้กับกระเบื้องประเภททั่วไป ไม่ว่าจะเป็นกระเบื้องปูพื้นผนัง ซึ่งกระเบื้องตัวนี้จะมีราคาที่ถูกและประหยัดเป็นอย่างมาก ข้อเสียคือจะไม่ป้องกันการรั่วซึมหรือไม่สามารถป้องกันเชื้อราต่าง ๆ ได้หรือหากป้องกันได้ก็สามารถป้องกันได้น้อยมาก

     ยาแนวกระเบื้องประเภท Epoxy

ยาแนวประเภทนี้ค่อนข้างมีราคาสูงแต่มาพร้อมคุณภาพแบบจัดเต็ม นิยมใช้ในห้องน้ำหรือห้องครัวเพราะสามารถป้องกันน้ำได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญยังป้องกันการรั่วซึมได้สูงเป็นอย่างมาก ทำให้มีความทนทานในด้านการใช้งานและมีความแข็งแรงสูงเป็นอย่างมาก ตอบโจทย์การใช้งานกับพื้นที่ที่ต้องพบเจอกับน้ำบ่อย

     ยาแนวกระเบื้องประเภททนแรงอัดน้ำ

ยาแนวประเภทนี้ก็เป็นอีกหนึ่งประเภทที่นิยมใช้ในห้องน้ำ จะทนแรงอัดในการใช้งานได้ดียิ่งกว่าประเภท Epoxy เนื่องจากว่าตัวนี้จะนิยมใช้ใน ซาวน่า บ่อน้ำหรือสระว่ายน้ำ มีความทนทานสูงเป็นอย่างมากและที่สำคัญยังลดการเกิดเชื้อราต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

     ยาแนวกระเบื้องประเภทหลอดสำเร็จรูป

ยาแนวประเภทนี้มีการบรรจุและผสมมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพิ่มความสะดวกสบายในด้านการใช้งานให้แก่ผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่ยาแนวประเภทนี้จะไม่นิยมนำมายาแนวกระเบื้องที่ปูเสร็จใหม่ จะนำมาซ่อมแซมหรืออุดรูส่วนที่สึกหรอไปนั่นเอง

เมื่อได้รู้จักกับประเภทของยาแนวแล้วก็อย่าลืมเลือกใช้ให้ถูกต้องตามประเภทของการใช้งานและประเภทห้องของท่านด้วย เพื่ออายุในการใช้งานที่ยาวนานของกระเบื้องและยาแนวของท่าน

ยาแนวกระเบื้อง (2)

10 เหตุผลที่เมื่อปูกระเบื้องต้องทำการใช้ยาแนวทุกครั้ง

เหตุผลทำไมเมื่อปูกระเบื้องแล้วต้องการทำการยาแนวกระเบื้องทุกครั้ง วันนี้เราจะพาทุกท่านไปดูเหตุผลของการยาแนวกระเบื้องกัน

  1. ป้องกันกระเบื้องระเบิด โดยหากปูกระเบื้องแล้วไม่มีการยาแนวมีโอกาสสูงมากที่กระเบื้องจะระเบิดและอาจทำให้ผู้คนที่อยู่อาศัยภายในบ้านเกิดอาการบาดเจ็บได้
  2. ป้องกันกระเบื้องแตกร้าว การยาแนวกระเบื้องจะช่วยให้กระเบื้องนั้นลดความเสี่ยงในการแตกร้าวและสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานได้อย่างยาวนาน
  3. ช่วยเพิ่มความสวยงามให้พื้นบ้าน หากพื้นบ้านที่ไม่มีการยาแนวก็ดูเหมือนจะไม่เสร็จสิ้นและมีช่องว่างที่ดูไม่สวยงามตาสักเท่าไหร่ การยาแนวจึงช่วยได้
  4. ช่วยลดการสะสมสิ่งสกปรก ช่องว่างของการปูกระเบื้องหากไม่มีการยาแนวบอกเลยว่านั่นคือแหล่งสะสมความสกปรกชั้นดี ดังนั้นเมื่อมีการย้ายแล้วจะช่วยลดในส่วนนี้ได้
  5. ช่วยลดการเกิดเชื้อราในกระเบื้อง ภายใต้กระเบื้องหากไม่มีการยาแนวอาจจะทำให้เกิดเชื้อราและตัวกระเบื้องอาจจะมีประสิทธิภาพในการใช้งานลดลง
  6. ช่วยป้องกันการรั่วซึมของพื้น การยาแนวกระเบื้องนอกจากจะได้ความสวยงามแล้วยังช่วยป้องกันการรั่วซึมของพื้นบ้านได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นห้องครัวห้องน้ำ
  7. ช่วยป้องกันผู้คนจากสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ บางทีการมีช่องว่างระหว่างกระเบื้องที่ไม่ได้ยาแนวนั้นอาจเป็นแหล่งที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้รับเชิญ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง หรือสัตว์ร้ายชนิดอื่นอีกมากมาย
  8. ช่วยให้กระเบื้องใช้งานได้อย่างทนทาน เมื่อมีการยาแนวกระเบื้องก็จะทำให้กระเบื้องใช้งานได้อย่างทนทานเพราะเป็นการเก็บขอบกระเบื้องทำให้ไม่แตกหักไว
  9. ช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่าย เมื่อมีการยาแนวไม่มีร่องของกระเบื้องก็จะทำให้การทำความสะอาดนั้นง่ายดายมากยิ่งขึ้น
  10. ช่วยลดการเกิดน้ำขัง การยาแนวกระเบื้องสามารถช่วยลดการเกิดน้ำขังได้ เช่น ในห้องน้ำหรือห้องครัวหากมีการใช้น้ำแล้วไม่ได้ยาแนวกระเบื้องน้ำอาจจะขังในร่องกระเบื้องที่ปูก็เป็นได้
โลโก้ตัวแทนจำหน่าย
  กระเบื้องบีเซน

กรดเกลือคืออะไร? ข้อดีและข้อควรระวังของกรดเกลือเมื่อนำมาใช้งาน

กรดเกลือคืออะไร? กระเบื้องสะอาดภายใน 10 นาที

     สำหรับท่านใดที่กำลังมองหาข้อมูลของกรดเกลือการใช้งานจริงวันนี้เรารวบรวมข้อมูลของกรดเกลือวิธีการใช้งาน ข้อดีเมื่อนำกรดเกลือมาใช้ในการใช้งานมาบอกต่อแก่ทุกท่าน เพื่อให้เป็นแนวทางในด้านการใช้งานได้เป็นอย่างดี บอกเลยว่ามีไอเทมนี้แล้วจะช่วยให้ชีวิตของท่านง่ายขึ้นหลายเท่าตัวอย่างแน่นอน สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักกับกรดเกลือว่ามีข้อดีอย่างไรและนำไปใช้งานในส่วนใดได้บ้างบอกเลยว่าเมื่อได้เข้ามาอ่านที่กระทู้นี้แล้วท่านจะไขข้อสงสัยได้อย่างกระจ่างแจ้งแน่นอน บอกเลยว่าเป็นหนึ่งในไอเทมอรรถประโยชน์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ

พาทุกท่านมารู้จักกับกรดเกลือหรือที่เรียกอีกชื่อว่าไฮโดรคลอริก กรดเกลือตัวนี้เป็นสารเคมีที่สามารถละลายน้ำได้ โดยส่วนใหญ่นิยมมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลายเนื่องจากว่ากรดเกลือประเภทนี้มีคุณสมบัติที่ช่วยในเรื่องของการกัดกร่อนได้ดีเป็นอย่างมาก โดยในอุตสาหกรรมจะนำมาใช้ทำความสะอาดชิ้นส่วนโลหะหรือช่วยกัดกร่อนสนิมเป็นต้น นอกจากในอุตสาหกรรมโรงงานกรดเกลือนี้ยังสามารถนำไปใช้กับอุตสาหกรรมได้หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมของเหมืองแร่ การฟอกหนัง อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถนำกรดเกลือไปใช้ในการทำงานได้แบบครบทุกรูปแบบ

กรดเกลือสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลายรูปแบบ

     เรียกได้ว่ากรดเกลือนั้นถูกใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลายในปัจจุบันและสามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบทั้งในภาคอุตสาหกรรมและทั่วไป นอกจากจะใช้ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในปัจจุบันยังถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นในด้านของการก่อสร้างที่นำมาล้างกระเบื้องล้างวัสดุอุปกรณ์ในการใช้ก่อสร้างก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี กรดตัวนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวช่วยชั้นดีในการทำงานเลยก็ว่าได้ เพราะมีประสิทธิภาพและคุณสมบัติในการใช้งานที่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ จึงสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดีในทุกรูปแบบ

กรดเกลือคืออะไร (2)

กรดเกลือล้างกระเบื้องสะอาดใน 10 นาที ใช้อย่างไร

กรดเกลือที่เราจะมาแนะนำวันนี้คือท่านสามารถนำไปล้างกระเบื้องให้สะอาดได้ภายใน 10 นาที บอกเลยว่าสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีและมีความรวดเร็วทันใจในด้านการล้างกระเบื้องเป็นอย่างมาก โดยวันนี้เราจะมาแนะนำขั้นตอนและวิธีการการใช้กรดเกลือในการล้างกระเบื้องให้สะอาดภายใน 10 นาที

 

   จัดเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมสอนการลงมือล้างกระเบื้อง

   เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมไม่ว่าจะเป็นแว่นตากันสารเคมีที่ปิดจมูก ถุงมือและที่สำคัญควรใช้รองเท้าบูตเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นในการใช้งานของกรดเกลือ

   ทำการผสม กรดเกลือ ล้าง คราบ ปูน ด้วยความระมัดระวัง

   ตวงน้ำไว้ให้เรียบร้อยโดยจะใช้น้ำทั้งหมด 10 ส่วนด้วยกัน กรดเกลือ ล้าง คราบ ปูน และหลังจากนั้นจะใช้กรดเกลือทั้งหมด 2 ส่วนค่อยๆ เทลงไปในน้ำและผสมให้เข้ากัน แนะนำว่าในขณะที่ละลายกรดเกลือให้ผสมกับน้ำนั้นไม่ควรให้ไอจากกรดเกลือโดนจมูกเป็นอันขาด เพราะอาจจะทำให้มีอาการแสบจมูกหรือคัดจมูกก็เป็นได้

   ล้างพื้นด้วยน้ำเปล่าก่อน 1 ครั้ง

   นำน้ำเปล่าไปล้างพื้นกระเบื้องที่ต้องการล้างก่อน 1 ครั้ง และหลังจากนั้นใช้กรดเกลือที่เราผสมไว้กับน้ำ 10 ส่วน มากเทราดบนกระเบื้องที่เราต้องการล้างได้เลยต่อด้วยการใช้แปรงทำความสะอาดขัดเบาๆ แนะนำว่าห้ามให้โดนมือหรืออวัยวะในร่างกาย หากโดนอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายให้รีบล้างในทันที

   ล้างทำความสะอาด กรดเกลือ ทำความสะอาดกระเบื้อง ด้วยน้ำเปล่าอีกรอบ

   เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการขัดทำความสะอาดเรียบร้อยให้ล้างกรดเกลือด้วยน้ำสะอาดประมาณ 3-5 รอบ กรดเกลือ ทำความสะอาดกระเบื้อง หรือล้างไปจนกว่าจะหมดกลิ่น

เพียงแค่ไม่กี่ขั้นตอนเท่านี้ก็สามารถล้างกระเบื้องได้อย่างสะอาด ทำความสะอาดไว้ภายในพริบตาเดียวใช้เวลาแค่ 10 นาทีเท่านั้นก็ล้างกระเบื้องแบบสะอาดได้ทันใจ

 

กรดเกลือคืออะไร (1)

ข้อดีและข้อควรระวังของกรดเกลือเมื่อนำมาใช้งาน

กรดเกลือที่มีการผลิตมาให้เลือกซื้อและเลือกใช้ในอุตสาหกรรมและการก่อสร้างต่างๆ มากมายนั้น บอกเลยว่านอกจากจะมีข้อดีในด้านการใช้งาน กรดเกลือก็ยังมีข้อเสียและข้อควรระวังอีกหลายอย่างเช่นเดียวกัน นอกจากจะเป็นไอเทม อรรถประโยชน์ที่สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลายรูปแบบ ก็ยังมีข้อควรระวังหลากหลายเช่นเดียวกันเพราะกรดเกลือนั้นเรียกได้ว่าเป็นสารอันตรายอีกอันก็ว่าได้ ตามไปดูข้อดีและข้อเสียของกรดเกลือกับเราได้เลย

 

ข้อดีของการใช้ กรดเกลือคืออะไร ตอบโจทย์การใช้งานได้จริง

สำหรับข้อดีของการเลือกใช้ กรดเกลือคืออะไร ในงานอุตสาหกรรมหรือการก่อสร้างหลากหลายรูปแบบมีด้วยกันทั้งหมดดังนี้

 

  1. สามารถทำความสะอาดพื้นที่หรืออุปกรณ์ที่เราต้องการได้อย่างหมดจด เพราะตัวกรดเกลือนั้นมีคุณสมบัติที่สามารถกัดกร่อนได้เป็นอย่างดี ทำให้คราบสกปรกหรือคราบสนิมนั้นหลุดออกได้อย่างง่ายดาย
  2. กรดเกลือสามารถเลือกซื้อเลือกหาได้ง่ายที่สำคัญมีราคาไม่แพง เก็บไว้ใช้งานได้อย่างยาวนาน ซื้อ 1 ครั้งใช้ได้แบบจุใจกันเลยทีเดียว
  3. สามารถใช้งานได้กับวัสดุหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นพื้นกระเบื้อง เหล็ก หรือการนำมาขัดพื้นล้าง คราบสนิมคราบตะไคร่ก็สามารถทำได้
  4. กรดเกลือนั้นสามารถนำไปบำบัดน้ำเสียได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เหมาะกับการใช้ทำความสะอาดสระว่ายน้ำนอกจากจะช่วยขัดตะไคร่น้ำจากสระได้เป็นอย่างดียังลดความเป็นด่างของน้ำได้อีกด้วย

 

ข้อควรระวังในการเลือกใช้กรดเกลือ

นอกจากข้อดีในการใช้กรดเกลือที่ช่วยเพิ่มอรรถประโยชน์ในการทำงานได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาด การบำบัดน้ำเสีย และอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อนำกรดเกลือมาใช้งานก็มีข้อควรระวังเช่นเดียวกันดังนี้

 

  1. ระวังการสูดดมกรดเกลือ เนื่องจากว่ากรดเกลือนั้นอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองจมูกลำคอ และอาจส่งผลต่อทางเดินหายใจของท่านได้ เนื่องจากเป็นพิษต่อระบบทางเดินหายใจ ดังนั้นเมื่อใช้งานควรมีการปิดจมูกให้เรียบร้อย
  2. ระวังห้ามให้โดนผิวหนัง เพราะตัวกรดเกลือนั้นเป็นกรดเมื่อโดนผิวหนังอาจจะก่อให้เกิดอาการแสบร้อนหรือเกิดการไหม้ของผิวหนังได้ และอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองของผิวหนังในขั้นรุนแรง
  3. ระวังการเป็นพิษต่อทางเดินอาหาร กรดเกลือหักเข้าสู่ร่างกายแล้วอาจจะทำให้เป็นพิษต่อทางเดินอาหาร เนื่องจากว่าทำให้ร่างกายเกิดสภาวะความเป็นกรดและเบสไม่สมดุลกัน ดังนั้นจึงควรระวังในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
  4. ระวังการเป็นพิษต่อหลอดเลือดและหัวใจ ในส่วนนี้หากได้รับกรดเกลือในปริมาณมากหรือกินกรดเกลือเข้าไปในร่างกายปริมาณที่มาก จะทำให้เกิดสภาวะความดันโลหิตต่ำทำให้หลอดเลือดทางเดินอาหารนั้นสูญเสียสมดุลและอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้

 

เลือกใช้ให้เป็นและรู้จักป้องกันในเวลาการใช้งานให้เป็นอย่างดี จะช่วยให้การทำงานมีความสบายมากยิ่งขึ้นลดระยะเวลาในการทำงานน้อยลง แต่อย่าลืมเมื่อใช้กรดเกลืออย่าลืมป้องกันให้ดีเพราะตัวนี้นอกจากจะมีข้อดีก็มีข้อควรระวังมากมายเช่นเดียวกัน

 

โลโก้ตัวแทนจำหน่าย
  กระเบื้องบีเซน

กรดเกลือคืออะไร? กระเบื้องสะอาดภายใน 10 นาที

     สำหรับท่านใดที่กำลังมองหาข้อมูลของกรดเกลือการใช้งานจริงวันนี้เรารวบรวมข้อมูลของกรดเกลือวิธีการใช้งาน ข้อดีเมื่อนำกรดเกลือมาใช้ในการใช้งานมาบอกต่อแก่ทุกท่าน เพื่อให้เป็นแนวทางในด้านการใช้งานได้เป็นอย่างดี บอกเลยว่ามีไอเทมนี้แล้วจะช่วยให้ชีวิตของท่านง่ายขึ้นหลายเท่าตัวอย่างแน่นอน สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักกับกรดเกลือว่ามีข้อดีอย่างไรและนำไปใช้งานในส่วนใดได้บ้างบอกเลยว่าเมื่อได้เข้ามาอ่านที่กระทู้นี้แล้วท่านจะไขข้อสงสัยได้อย่างกระจ่างแจ้งแน่นอน บอกเลยว่าเป็นหนึ่งในไอเทมอรรถประโยชน์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ

พาทุกท่านมารู้จักกับกรดเกลือหรือที่เรียกอีกชื่อว่าไฮโดรคลอริก กรดเกลือตัวนี้เป็นสารเคมีที่สามารถละลายน้ำได้ โดยส่วนใหญ่นิยมมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลายเนื่องจากว่ากรดเกลือประเภทนี้มีคุณสมบัติที่ช่วยในเรื่องของการกัดกร่อนได้ดีเป็นอย่างมาก โดยในอุตสาหกรรมจะนำมาใช้ทำความสะอาดชิ้นส่วนโลหะหรือช่วยกัดกร่อนสนิมเป็นต้น นอกจากในอุตสาหกรรมโรงงานกรดเกลือนี้ยังสามารถนำไปใช้กับอุตสาหกรรมได้หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมของเหมืองแร่ การฟอกหนัง อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถนำกรดเกลือไปใช้ในการทำงานได้แบบครบทุกรูปแบบ

กรดเกลือสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลายรูปแบบ

     เรียกได้ว่ากรดเกลือนั้นถูกใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลายในปัจจุบันและสามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบทั้งในภาคอุตสาหกรรมและทั่วไป นอกจากจะใช้ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในปัจจุบันยังถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นในด้านของการก่อสร้างที่นำมาล้างกระเบื้องล้างวัสดุอุปกรณ์ในการใช้ก่อสร้างก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี กรดตัวนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวช่วยชั้นดีในการทำงานเลยก็ว่าได้ เพราะมีประสิทธิภาพและคุณสมบัติในการใช้งานที่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ จึงสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดีในทุกรูปแบบ

 

กรดเกลือคืออะไร (2)

กรดเกลือล้างกระเบื้องสะอาดใน 10 นาที ใช้อย่างไร

กรดเกลือที่เราจะมาแนะนำวันนี้คือท่านสามารถนำไปล้างกระเบื้องให้สะอาดได้ภายใน 10 นาที บอกเลยว่าสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีและมีความรวดเร็วทันใจในด้านการล้างกระเบื้องเป็นอย่างมาก โดยวันนี้เราจะมาแนะนำขั้นตอนและวิธีการการใช้กรดเกลือในการล้างกระเบื้องให้สะอาดภายใน 10 นาที

   จัดเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมสอนการลงมือล้างกระเบื้อง

   เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมไม่ว่าจะเป็นแว่นตากันสารเคมีที่ปิดจมูก ถุงมือและที่สำคัญควรใช้รองเท้าบูตเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นในการใช้งานของกรดเกลือ

   ทำการผสม กรดเกลือ ล้าง คราบ ปูน ด้วยความระมัดระวัง

   ตวงน้ำไว้ให้เรียบร้อยโดยจะใช้น้ำทั้งหมด 10 ส่วนด้วยกัน กรดเกลือ ล้าง คราบ ปูน และหลังจากนั้นจะใช้กรดเกลือทั้งหมด 2 ส่วนค่อยๆ เทลงไปในน้ำและผสมให้เข้ากัน แนะนำว่าในขณะที่ละลายกรดเกลือให้ผสมกับน้ำนั้นไม่ควรให้ไอจากกรดเกลือโดนจมูกเป็นอันขาด เพราะอาจจะทำให้มีอาการแสบจมูกหรือคัดจมูกก็เป็นได้

   ล้างพื้นด้วยน้ำเปล่าก่อน 1 ครั้ง

   นำน้ำเปล่าไปล้างพื้นกระเบื้องที่ต้องการล้างก่อน 1 ครั้ง และหลังจากนั้นใช้กรดเกลือที่เราผสมไว้กับน้ำ 10 ส่วน มากเทราดบนกระเบื้องที่เราต้องการล้างได้เลยต่อด้วยการใช้แปรงทำความสะอาดขัดเบาๆ แนะนำว่าห้ามให้โดนมือหรืออวัยวะในร่างกาย หากโดนอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายให้รีบล้างในทันที

   ล้างทำความสะอาด กรดเกลือ ทำความสะอาดกระเบื้อง ด้วยน้ำเปล่าอีกรอบ

   เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการขัดทำความสะอาดเรียบร้อยให้ล้างกรดเกลือด้วยน้ำสะอาดประมาณ 3-5 รอบ กรดเกลือ ทำความสะอาดกระเบื้อง หรือล้างไปจนกว่าจะหมดกลิ่น

เพียงแค่ไม่กี่ขั้นตอนเท่านี้ก็สามารถล้างกระเบื้องได้อย่างสะอาด ทำความสะอาดไว้ภายในพริบตาเดียวใช้เวลาแค่ 10 นาทีเท่านั้นก็ล้างกระเบื้องแบบสะอาดได้ทันใจ

กรดเกลือคืออะไร (1)

ข้อดีและข้อควรระวังของกรดเกลือเมื่อนำมาใช้งาน

กรดเกลือที่มีการผลิตมาให้เลือกซื้อและเลือกใช้ในอุตสาหกรรมและการก่อสร้างต่างๆ มากมายนั้น บอกเลยว่านอกจากจะมีข้อดีในด้านการใช้งาน กรดเกลือก็ยังมีข้อเสียและข้อควรระวังอีกหลายอย่างเช่นเดียวกัน นอกจากจะเป็นไอเทม อรรถประโยชน์ที่สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลายรูปแบบ ก็ยังมีข้อควรระวังหลากหลายเช่นเดียวกันเพราะกรดเกลือนั้นเรียกได้ว่าเป็นสารอันตรายอีกอันก็ว่าได้ ตามไปดูข้อดีและข้อเสียของกรดเกลือกับเราได้เลย

ข้อดีของการใช้ กรดเกลือคืออะไร ตอบโจทย์การใช้งานได้จริง

สำหรับข้อดีของการเลือกใช้ กรดเกลือคืออะไร ในงานอุตสาหกรรมหรือการก่อสร้างหลากหลายรูปแบบมีด้วยกันทั้งหมดดังนี้

  1. สามารถทำความสะอาดพื้นที่หรืออุปกรณ์ที่เราต้องการได้อย่างหมดจด เพราะตัวกรดเกลือนั้นมีคุณสมบัติที่สามารถกัดกร่อนได้เป็นอย่างดี ทำให้คราบสกปรกหรือคราบสนิมนั้นหลุดออกได้อย่างง่ายดาย
  2. กรดเกลือสามารถเลือกซื้อเลือกหาได้ง่ายที่สำคัญมีราคาไม่แพง เก็บไว้ใช้งานได้อย่างยาวนาน ซื้อ 1 ครั้งใช้ได้แบบจุใจกันเลยทีเดียว
  3. สามารถใช้งานได้กับวัสดุหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นพื้นกระเบื้อง เหล็ก หรือการนำมาขัดพื้นล้าง คราบสนิมคราบตะไคร่ก็สามารถทำได้
  4. กรดเกลือนั้นสามารถนำไปบำบัดน้ำเสียได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เหมาะกับการใช้ทำความสะอาดสระว่ายน้ำนอกจากจะช่วยขัดตะไคร่น้ำจากสระได้เป็นอย่างดียังลดความเป็นด่างของน้ำได้อีกด้วย

 

ข้อควรระวังในการเลือกใช้กรดเกลือ

นอกจากข้อดีในการใช้กรดเกลือที่ช่วยเพิ่มอรรถประโยชน์ในการทำงานได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาด การบำบัดน้ำเสีย และอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อนำกรดเกลือมาใช้งานก็มีข้อควรระวังเช่นเดียวกันดังนี้

  1. ระวังการสูดดมกรดเกลือ เนื่องจากว่ากรดเกลือนั้นอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองจมูกลำคอ และอาจส่งผลต่อทางเดินหายใจของท่านได้ เนื่องจากเป็นพิษต่อระบบทางเดินหายใจ ดังนั้นเมื่อใช้งานควรมีการปิดจมูกให้เรียบร้อย
  2. ระวังห้ามให้โดนผิวหนัง เพราะตัวกรดเกลือนั้นเป็นกรดเมื่อโดนผิวหนังอาจจะก่อให้เกิดอาการแสบร้อนหรือเกิดการไหม้ของผิวหนังได้ และอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองของผิวหนังในขั้นรุนแรง
  3. ระวังการเป็นพิษต่อทางเดินอาหาร กรดเกลือหักเข้าสู่ร่างกายแล้วอาจจะทำให้เป็นพิษต่อทางเดินอาหาร เนื่องจากว่าทำให้ร่างกายเกิดสภาวะความเป็นกรดและเบสไม่สมดุลกัน ดังนั้นจึงควรระวังในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
  4. ระวังการเป็นพิษต่อหลอดเลือดและหัวใจ ในส่วนนี้หากได้รับกรดเกลือในปริมาณมากหรือกินกรดเกลือเข้าไปในร่างกายปริมาณที่มาก จะทำให้เกิดสภาวะความดันโลหิตต่ำทำให้หลอดเลือดทางเดินอาหารนั้นสูญเสียสมดุลและอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้

เลือกใช้ให้เป็นและรู้จักป้องกันในเวลาการใช้งานให้เป็นอย่างดี จะช่วยให้การทำงานมีความสบายมากยิ่งขึ้นลดระยะเวลาในการทำงานน้อยลง แต่อย่าลืมเมื่อใช้กรดเกลืออย่าลืมป้องกันให้ดีเพราะตัวนี้นอกจากจะมีข้อดีก็มีข้อควรระวังมากมายเช่นเดียวกัน

 

โลโก้ตัวแทนจำหน่าย
  กระเบื้องบีเซน

ไอเดียแต่งบ้านสไตล์ Rustic

15 ไอเดียแต่งบ้านสไตล์ Rustic

สำหรับคนที่กำลังจะสร้างบ้านหรือสร้างบ้านเรียบร้อยแล้วแต่ไม่รู้ว่าจะเลือกตกแต่งบ้านสไตล์ไหนดี วันนี้เรามีสไตล์การตกแต่งบ้านอีกหนึ่งรูปแบบมาแนะนำให้กับทุกท่าน เป็นสไตล์การตกแต่งบ้านที่มาในแนวอบอุ่นเรียบง่ายแต่มีความสวยงามแฝงอยู่ในการตกแต่งในสไตล์นี้ โดยการตกแต่งบ้านสไตล์นี้จะดึงเอาความโดดเด่นของตัวบ้านที่มีความสวยงามตามธรรมชาติและกาลเวลามาเป็นจุดเด่นในการตกแต่งบ้าน เพื่อให้บ้านได้สไตล์ที่ตรงใจที่สุดและตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยมากที่สุด บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งสไตล์การตกแต่งบ้านที่ถือว่าได้รับความนิยมสูงเป็นอย่างมาก

 

บ้านไตล์ Rustic (1)

พามารู้จักการแต่งบ้านแบบ rustic คืออะไร

การตกแต่งบ้านหรือการสร้างบ้านในสไตล์ rustic เชื่อว่ายังมีหลายคนที่ไม่รู้จักกับบ้านในสไตล์นี้ บอกเลยว่าเป็นสไตล์ของบ้านที่ได้รับความนิยมสูงเป็นอย่างมาก โดยการตกแต่งบ้านในสไตล์นี้จะเน้นความเป็นธรรมชาติความอบอุ่นของตัวบ้าน เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจในวันที่เหนื่อยล้าจะให้ความรู้สึกได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างลงตัว โดยการตกแต่งบ้านในสไตล์นี้จะเน้นในโทนอบอุ่นหรือการจับคู่สีที่ใช้โทนขาวน้ำตาลเป็นหลัก

 

ไอเดียการแต่งบ้านให้สวยงามตามธรรมชาติและกาลเวลา

กาลเวลาผ่านไปความสวยงามก็ยังคงอยู่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม รวมไปถึงบ้านก็เช่นเดียวกัน วันนี้เราจึงอยากให้ท่านมาดึงจุดความสวยงามของบ้านให้เป็นสไตล์การตกแต่งบ้านที่ตรงใจของท่านที่สุด บอกเลยว่าเมื่อได้ตกแต่งบ้านสไตล์นี้จะทำให้บ้านน่าอยู่มากยิ่งขึ้นมีความอบอุ่นมากยิ่งขึ้น บ้านทำให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพจิตดีและมีความสุขไปด้วยในตัว ดังนั้นก็อย่ารอช้ามาหาสไตล์การตกแต่งบ้านที่ชื่นชอบ ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยไปพร้อมกันกับเราได้เลย

พาส่องไอเดียการแต่งบ้านสไตล์ rustic อบอุ่นเรียบง่ายได้สไตล์ที่แตกต่าง

อบอุ่นเรียบง่ายได้สไตล์ที่แตกต่างกับการตกแต่งบ้านในสไตล์ rustic เพิ่มความอบอุ่นให้กับตัวบ้าน ไอเดียการตกแต่งบ้านสไตล์นี้จะมีในรูปแบบไหนบ้างนั้นตามไปดูกับเราได้เลยกับ 15 ไอเดียที่ไม่ควรพลาด

 

1.การตกแต่งบ้านด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้

การตกแต่งบ้านโดยการใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้มาสร้างมนต์เสน่ห์ให้กับบ้านของผู้อยู่อาศัย โดยเราจะแนะนำให้เน้นใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติเพื่อเป็นองค์ประกอบในการตกแต่ง เราที่เวลาใช้งานจะได้รู้สึกอบอุ่นและใกล้ชิดกับธรรมชาติได้โดยแท้จริง

2.การตกแต่งบ้านด้วยโซฟาผ้า

การตกแต่งบ้านในรูปแบบนี้จะเป็นการดึงจุดเด่นที่สร้างความอบอุ่นด้วยการใช้โซฟาในรูปแบบผ้า โดยสีที่เราแนะนำให้ใช้จะเป็นสีเหลืองอ่อนหรือสีเทา เพราะจะช่วยเพิ่มความรู้สึกอบอุ่นและจะทำให้รู้สึกนุ่มสบายในตอนที่ใช้งาน

3.การตกแต่งบ้านด้วยกำแพงหิน

การเพิ่มจุดสนใจภายในบ้านโดยใช้ก้อนหินหรือก้อนอิฐที่มีโทนสีเทามาใช้ในการตกแต่งบ้าน จะช่วยให้บ้านมีความน่าหลงใหลและมีมิติมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

 

4.ออกแบบ ไอเดียแต่งบ้าน rustic โดยใช้โคมไฟแขวน

เพิ่มความอบอุ่นด้วยโคมไฟแขวนที่มาในรูปแบบคลาสสิก ไอเดียแต่งบ้าน rustic โดยการติดตั้งโคมไฟในรูปแบบนี้นอกจากจะเพิ่มความสว่างไสวภายในบ้านแล้วนั้น ยังทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกอบอุ่นใจและสบายตาทุกครั้งที่ได้มองอีกด้วย แนะนำว่าไฟที่ใช้กับโคมไฟรูปแบบนี้ควรเป็นไฟในโทนสีส้มเหลืองของหลอดไฟ ทำให้ได้รับความรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างดี

5.การตกแต่งบ้านโดยใช้เฟอร์นิเจอร์สีอ่อน

การตกแต่งบ้านเพิ่มเติมโดยใช้เฟอร์นิเจอร์สีอ่อนไม่ว่าจะเป็นตู้ลิ้นชัก หรือเก้าอี้ในห้องรับแขกถ้าเป็นโทนสีอ่อนเช่นสีเทาอ่อนหรือสีครีมอ่อนจะช่วยให้ความรู้สึกภายในบ้านมีความอบอุ่นเช่นเดียวกัน และจะทำให้บ้านรู้สึกน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

6.การตกแต่งบ้านโดยการเพิ่มชั้นลอย

การเพิ่มชั้นลอยภายในบ้านนอกจากจะเพิ่มความสวยงามให้กับตัวบ้านแล้วนั้น ยังทำให้บ้านดูมีพื้นที่ใช้สอยและทำให้อบอุ่นน่าอยู่น่าใช้งานเป็นอย่างมากอีกด้วย โดยในการเพิ่มชั้นลอยนั้นควรใช้วัสดุที่เป็นจากธรรมชาติเพราะจะช่วยให้บ้านดูมีสไตล์และมีความอบอุ่น

 

บ้านไตล์ Rustic (4)

7.การตกแต่งบ้านด้วยกันเพิ่มผนังปูนเปลือยดิบ

ปูนเปลือยดิบนอกจากจะสื่อความเป็นโมเดิร์นของตัวบ้านได้เป็นอย่างดีแล้วนั้น ปูนเปลือยดิบยังช่วยให้การตกแต่งบ้านในสไตล์รัสติคมีความละมุนมากยิ่งขึ้นดูมีอะไรมากยิ่งขึ้น ทำให้มีความน่าหลงใหลและมีมนต์เสน่ห์ในตัวบ้านเป็นอย่างมาก แนะนำว่าการตกแต่งในรูปแบบนี้ควรเลือกตกแต่งเพียงผนังด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น

8.การตกแต่งบ้านด้วยชั้นวางไม้ที่มีรูปลักษณะเป็นธรรมชาติ

การเพิ่มชั้นวางที่ทำมาจากไม้ที่มีรูปลักษณะเป็นธรรมชาติจะช่วยทำให้บ้านมีกลิ่นอายความเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น มีความอบอุ่นมากยิ่งขึ้นในตัว แม้จะดูเป็นอุปกรณ์ตกแต่งที่แสนธรรมดาแต่บอกเลยว่าการนี้อุปกรณ์ชิ้นนี้วางอยู่ภายในบ้านนั้นจะทำให้บ้านดูน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

9.การตกแต่งบ้านโดยการดึงความดิบของวัตถุ

โดยส่วนใหญ่กันตกแต่งบ้านโดยการใช้การดึงความดิบของวัตถุนั้นจะใช้กับวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นสังกะสี หรือผังที่เป็นกระถางต้นไม้ เขาจะช่วยให้บ้านดูมีความคลาสสิกดูมีความน่าค้นหามากยิ่งขึ้น โดยสื่อถึงความเป็นธรรมชาติและกาลเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนานเช่นเดียวกัน

บ้านไตล์ Rustic (5)

10.การตกแต่งบ้านโดยใช้ดอกไม้แห้ง

ดอกไม้แห้งที่นำมาใช้ตกแต่งบ้าน บอกเลยว่าจะสื่อถึงความอบอุ่นมากยิ่งขึ้น สื่อถึงว่าไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ดอกไม้ก็ยังคงงดงามในรูปแบบของมันอยู่เสมอ โดยเมื่อนำดอกไม้มาตกแต่งในบ้านสไตล์นี้บอกเลยว่ายิ่งทำให้บ้านดูอบอุ่น ดูน่าอยู่มากขึ้นหลายเท่าตัว

11.การตกแต่งบ้านโดยใช้ดอกไม้และใบไม้สีเขียวตัด

นอกจากการตกแต่งบ้านสไตล์นี้จะนำดอกไม้แห้งมาใช้ในการจัดตกแต่งแล้วนั้น การมีดอกไม้หรือใบไม้สีเขียวมาเป็นตัวช่วยตัดจะทำให้บ้านดูมีความเรียบง่ายมากขึ้นและไม่ซับซ้อน หากเป็นในแนวสีเดียวมากเกินไปอาจทำให้การตกแต่งบ้านนั้นดูน่าเบื่อ

12.การตกแต่งบ้านด้วยการใช้โคมไฟหรือแจกันเป็นสีขาว

เมื่อมีสีขาวมาเป็นส่วนช่วยในการตกแต่งบ้านในสไตล์นี้ ดูมีความน่าค้นหาและมีอะไรมากยิ่งขึ้น ทำให้มองไปแล้วมีอะไรสะดุดตาไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ยิ่งใช้แจกันสีขาวตัดกับต้นไม้หรือดอกไม้สีเขียวยิ่งช่วยให้บ้านดูอบอุ่นและน่าอยู่มากยิ่งขึ้นไปอีก

13.การตกแต่งบ้านด้วยการสร้างหลังคาบ้านให้สูงและโปร่งโล่ง

เรียกได้ว่านี่คือหนึ่งรูปแบบวิธีการออกแบบและการตกแต่งบ้าน โดยการทำหลังคาให้สูงและโปร่งโล่งจะทำให้อากาศภายในบ้านถ่ายเทได้สะดวก ไม่ดูอุดอู้มากเกินไปทำให้ได้รับกลิ่นอายธรรมชาติและฟิลจากธรรมชาติได้อย่างเต็มร้อย

14.การตกแต่งบ้านโดยการนำท่อนไม้เก่ามาทำเป็นชั้นวางหนังสือ

มุมหนังสือสักมุมภายในบ้านเพิ่มความอบอุ่นความเรียบหรูและความมีสไตล์ โดยการนำท่อนไม้เก่ามาทำเป็นชั้นวางหนังสือ ให้มีกิมมิคภายในบ้านเล็กน้อยทำในบ้านดูมีความน่าค้นหาและทำให้มุมอ่านหนังสือของท่านน่าอ่านมากยิ่งขึ้น

15.ตกแต่งบ้านด้วยหินกับไม้ขัดลาย

การเลือกตกแต่งโดยใช้วัสดุอุปกรณ์นี้จะทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างหินและไม้ ลักษณะการตกแต่งที่ออกมาจะทำให้ดูมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และเป็นจุดดึงดูดศูนย์กลางของบ้านได้เป็นอย่างดี โดยหากจะเลือกใช้การตกแต่งในรูปแบบนี้พอเลือกตกแต่งโดยใช้ผนังท่านใดข้างหนึ่งเท่านั้น

 

โลโก้ตัวแทนจำหน่าย
  กระเบื้องบีเซน

15 ไอเดียแต่งบ้านสไตล์ Rustic

สำหรับคนที่กำลังจะสร้างบ้านหรือสร้างบ้านเรียบร้อยแล้วแต่ไม่รู้ว่าจะเลือกตกแต่งบ้านสไตล์ไหนดี วันนี้เรามีสไตล์การตกแต่งบ้านอีกหนึ่งรูปแบบมาแนะนำให้กับทุกท่าน เป็นสไตล์การตกแต่งบ้านที่มาในแนวอบอุ่นเรียบง่ายแต่มีความสวยงามแฝงอยู่ในการตกแต่งในสไตล์นี้ โดยการตกแต่งบ้านสไตล์นี้จะดึงเอาความโดดเด่นของตัวบ้านที่มีความสวยงามตามธรรมชาติและกาลเวลามาเป็นจุดเด่นในการตกแต่งบ้าน เพื่อให้บ้านได้สไตล์ที่ตรงใจที่สุดและตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยมากที่สุด บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งสไตล์การตกแต่งบ้านที่ถือว่าได้รับความนิยมสูงเป็นอย่างมาก

บ้านไตล์ Rustic (1)

พามารู้จักการแต่งบ้านแบบ rustic คืออะไร

การตกแต่งบ้านหรือการสร้างบ้านในสไตล์ rustic เชื่อว่ายังมีหลายคนที่ไม่รู้จักกับบ้านในสไตล์นี้ บอกเลยว่าเป็นสไตล์ของบ้านที่ได้รับความนิยมสูงเป็นอย่างมาก โดยการตกแต่งบ้านในสไตล์นี้จะเน้นความเป็นธรรมชาติความอบอุ่นของตัวบ้าน เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจในวันที่เหนื่อยล้าจะให้ความรู้สึกได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างลงตัว โดยการตกแต่งบ้านในสไตล์นี้จะเน้นในโทนอบอุ่นหรือการจับคู่สีที่ใช้โทนขาวน้ำตาลเป็นหลัก

ไอเดียการแต่งบ้านให้สวยงามตามธรรมชาติและกาลเวลา

กาลเวลาผ่านไปความสวยงามก็ยังคงอยู่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม รวมไปถึงบ้านก็เช่นเดียวกัน วันนี้เราจึงอยากให้ท่านมาดึงจุดความสวยงามของบ้านให้เป็นสไตล์การตกแต่งบ้านที่ตรงใจของท่านที่สุด บอกเลยว่าเมื่อได้ตกแต่งบ้านสไตล์นี้จะทำให้บ้านน่าอยู่มากยิ่งขึ้นมีความอบอุ่นมากยิ่งขึ้น บ้านทำให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพจิตดีและมีความสุขไปด้วยในตัว ดังนั้นก็อย่ารอช้ามาหาสไตล์การตกแต่งบ้านที่ชื่นชอบ ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยไปพร้อมกันกับเราได้เลย

พาส่องไอเดียการแต่งบ้านสไตล์ rustic อบอุ่นเรียบง่ายได้สไตล์ที่แตกต่าง

อบอุ่นเรียบง่ายได้สไตล์ที่แตกต่างกับการตกแต่งบ้านในสไตล์ rustic เพิ่มความอบอุ่นให้กับตัวบ้าน ไอเดียการตกแต่งบ้านสไตล์นี้จะมีในรูปแบบไหนบ้างนั้นตามไปดูกับเราได้เลยกับ 15 ไอเดียที่ไม่ควรพลาด

1.การตกแต่งบ้านด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้

การตกแต่งบ้านโดยการใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้มาสร้างมนต์เสน่ห์ให้กับบ้านของผู้อยู่อาศัย โดยเราจะแนะนำให้เน้นใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติเพื่อเป็นองค์ประกอบในการตกแต่ง เราที่เวลาใช้งานจะได้รู้สึกอบอุ่นและใกล้ชิดกับธรรมชาติได้โดยแท้จริง

2.การตกแต่งบ้านด้วยโซฟาผ้า

การตกแต่งบ้านในรูปแบบนี้จะเป็นการดึงจุดเด่นที่สร้างความอบอุ่นด้วยการใช้โซฟาในรูปแบบผ้า โดยสีที่เราแนะนำให้ใช้จะเป็นสีเหลืองอ่อนหรือสีเทา เพราะจะช่วยเพิ่มความรู้สึกอบอุ่นและจะทำให้รู้สึกนุ่มสบายในตอนที่ใช้งาน

3.การตกแต่งบ้านด้วยกำแพงหิน

การเพิ่มจุดสนใจภายในบ้านโดยใช้ก้อนหินหรือก้อนอิฐที่มีโทนสีเทามาใช้ในการตกแต่งบ้าน จะช่วยให้บ้านมีความน่าหลงใหลและมีมิติมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

4.ออกแบบ ไอเดียแต่งบ้าน rustic โดยใช้โคมไฟแขวน

เพิ่มความอบอุ่นด้วยโคมไฟแขวนที่มาในรูปแบบคลาสสิก ไอเดียแต่งบ้าน rustic โดยการติดตั้งโคมไฟในรูปแบบนี้นอกจากจะเพิ่มความสว่างไสวภายในบ้านแล้วนั้น ยังทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกอบอุ่นใจและสบายตาทุกครั้งที่ได้มองอีกด้วย แนะนำว่าไฟที่ใช้กับโคมไฟรูปแบบนี้ควรเป็นไฟในโทนสีส้มเหลืองของหลอดไฟ ทำให้ได้รับความรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างดี

5.การตกแต่งบ้านโดยใช้เฟอร์นิเจอร์สีอ่อน

การตกแต่งบ้านเพิ่มเติมโดยใช้เฟอร์นิเจอร์สีอ่อนไม่ว่าจะเป็นตู้ลิ้นชัก หรือเก้าอี้ในห้องรับแขกถ้าเป็นโทนสีอ่อนเช่นสีเทาอ่อนหรือสีครีมอ่อนจะช่วยให้ความรู้สึกภายในบ้านมีความอบอุ่นเช่นเดียวกัน และจะทำให้บ้านรู้สึกน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

6.การตกแต่งบ้านโดยการเพิ่มชั้นลอย

การเพิ่มชั้นลอยภายในบ้านนอกจากจะเพิ่มความสวยงามให้กับตัวบ้านแล้วนั้น ยังทำให้บ้านดูมีพื้นที่ใช้สอยและทำให้อบอุ่นน่าอยู่น่าใช้งานเป็นอย่างมากอีกด้วย โดยในการเพิ่มชั้นลอยนั้นควรใช้วัสดุที่เป็นจากธรรมชาติเพราะจะช่วยให้บ้านดูมีสไตล์และมีความอบอุ่น

บ้านไตล์ Rustic (4)

7.การตกแต่งบ้านด้วยกันเพิ่มผนังปูนเปลือยดิบ

ปูนเปลือยดิบนอกจากจะสื่อความเป็นโมเดิร์นของตัวบ้านได้เป็นอย่างดีแล้วนั้น ปูนเปลือยดิบยังช่วยให้การตกแต่งบ้านในสไตล์รัสติคมีความละมุนมากยิ่งขึ้นดูมีอะไรมากยิ่งขึ้น ทำให้มีความน่าหลงใหลและมีมนต์เสน่ห์ในตัวบ้านเป็นอย่างมาก แนะนำว่าการตกแต่งในรูปแบบนี้ควรเลือกตกแต่งเพียงผนังด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น

8.การตกแต่งบ้านด้วยชั้นวางไม้ที่มีรูปลักษณะเป็นธรรมชาติ

การเพิ่มชั้นวางที่ทำมาจากไม้ที่มีรูปลักษณะเป็นธรรมชาติจะช่วยทำให้บ้านมีกลิ่นอายความเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น มีความอบอุ่นมากยิ่งขึ้นในตัว แม้จะดูเป็นอุปกรณ์ตกแต่งที่แสนธรรมดาแต่บอกเลยว่าการนี้อุปกรณ์ชิ้นนี้วางอยู่ภายในบ้านนั้นจะทำให้บ้านดูน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

9.การตกแต่งบ้านโดยการดึงความดิบของวัตถุ

โดยส่วนใหญ่กันตกแต่งบ้านโดยการใช้การดึงความดิบของวัตถุนั้นจะใช้กับวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นสังกะสี หรือผังที่เป็นกระถางต้นไม้ เขาจะช่วยให้บ้านดูมีความคลาสสิกดูมีความน่าค้นหามากยิ่งขึ้น โดยสื่อถึงความเป็นธรรมชาติและกาลเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนานเช่นเดียวกัน

 

บ้านไตล์ Rustic (5)

10.การตกแต่งบ้านโดยใช้ดอกไม้แห้ง

ดอกไม้แห้งที่นำมาใช้ตกแต่งบ้าน บอกเลยว่าจะสื่อถึงความอบอุ่นมากยิ่งขึ้น สื่อถึงว่าไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ดอกไม้ก็ยังคงงดงามในรูปแบบของมันอยู่เสมอ โดยเมื่อนำดอกไม้มาตกแต่งในบ้านสไตล์นี้บอกเลยว่ายิ่งทำให้บ้านดูอบอุ่น ดูน่าอยู่มากขึ้นหลายเท่าตัว

11.การตกแต่งบ้านโดยใช้ดอกไม้และใบไม้สีเขียวตัด

นอกจากการตกแต่งบ้านสไตล์นี้จะนำดอกไม้แห้งมาใช้ในการจัดตกแต่งแล้วนั้น การมีดอกไม้หรือใบไม้สีเขียวมาเป็นตัวช่วยตัดจะทำให้บ้านดูมีความเรียบง่ายมากขึ้นและไม่ซับซ้อน หากเป็นในแนวสีเดียวมากเกินไปอาจทำให้การตกแต่งบ้านนั้นดูน่าเบื่อ

12.การตกแต่งบ้านด้วยการใช้โคมไฟหรือแจกันเป็นสีขาว

เมื่อมีสีขาวมาเป็นส่วนช่วยในการตกแต่งบ้านในสไตล์นี้ ดูมีความน่าค้นหาและมีอะไรมากยิ่งขึ้น ทำให้มองไปแล้วมีอะไรสะดุดตาไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ยิ่งใช้แจกันสีขาวตัดกับต้นไม้หรือดอกไม้สีเขียวยิ่งช่วยให้บ้านดูอบอุ่นและน่าอยู่มากยิ่งขึ้นไปอีก

13.การตกแต่งบ้านด้วยการสร้างหลังคาบ้านให้สูงและโปร่งโล่ง

เรียกได้ว่านี่คือหนึ่งรูปแบบวิธีการออกแบบและการตกแต่งบ้าน โดยการทำหลังคาให้สูงและโปร่งโล่งจะทำให้อากาศภายในบ้านถ่ายเทได้สะดวก ไม่ดูอุดอู้มากเกินไปทำให้ได้รับกลิ่นอายธรรมชาติและฟิลจากธรรมชาติได้อย่างเต็มร้อย

14.การตกแต่งบ้านโดยการนำท่อนไม้เก่ามาทำเป็นชั้นวางหนังสือ

มุมหนังสือสักมุมภายในบ้านเพิ่มความอบอุ่นความเรียบหรูและความมีสไตล์ โดยการนำท่อนไม้เก่ามาทำเป็นชั้นวางหนังสือ ให้มีกิมมิคภายในบ้านเล็กน้อยทำในบ้านดูมีความน่าค้นหาและทำให้มุมอ่านหนังสือของท่านน่าอ่านมากยิ่งขึ้น

15.ตกแต่งบ้านด้วยหินกับไม้ขัดลาย

การเลือกตกแต่งโดยใช้วัสดุอุปกรณ์นี้จะทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างหินและไม้ ลักษณะการตกแต่งที่ออกมาจะทำให้ดูมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และเป็นจุดดึงดูดศูนย์กลางของบ้านได้เป็นอย่างดี โดยหากจะเลือกใช้การตกแต่งในรูปแบบนี้พอเลือกตกแต่งโดยใช้ผนังท่านใดข้างหนึ่งเท่านั้น

 

โลโก้ตัวแทนจำหน่าย
  กระเบื้องบีเซน